3 เหตุผลที่เว็บไซต์ไม่ ติดหน้าแรก Google
มีปัญหาเว็บไซต์ไม่ ติดหน้าแรก Google ใช่มั้ยครับ ?
ในบทความนี้ ผมจะช่วยคุณหาคำตอบว่า “ทำไมเว็บไซต์คุณถึงไม่ ติดหน้าแรก Google” รวมทั้งแนวทางการแก้ปัญหานี้ของคุณด้วยครับผม
แต่คุณต้องรู้ก่อนว่า การทำให้เว็บไซต์ ติดหน้าแรก Google มีด้วยกัน 2 ทางเลือกหลัก ๆ ดังนี้
- เสียเงินกับการ ทำโฆษณา Google Ads
- ไม่ต้องเสียเงินกับการโฆษณา ด้วยการปรับปรุง content บนหน้าเว็บแบบออร์แกนิค (SEO)
สำหรับบนความนี้ เราจะโฟกัสแค่ทางเลือกที่ 2 นะครับ แต่ถ้าอยากให้เว็บไซต์ติดอันดับ Google เลยทันที บริการ Google Ads ของ MakeWebEasy ก็พร้อมที่จะช่วยครับ
ก่อนอื่น คุณจำเป็นต้องเช็คเว็บไซต์ของตัวเองก่อนว่า มีอยู่ใน Google Search Engine จริงหรือไม่ เพราะถึงคุณพยายามใช้วิธีต่างๆ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับดีขึ้น มันก็ยังเหมือนเดิม หาก Google ไม่รู้ว่าเว็บไซต์ของคุณมีอยู่จริงใน Search Engine ของ Google
วิธี basic ในการเช็คเว็บไซต์ของคุณว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ คือ เข้าไปใน Google ป้อน “site:ชื่อเว็บไซต์ของคุณ.com” ( ตัวอย่างเช่น site: makewebeasy.com ) ใน Search Bar แล้วกดเสิร์ช หรือถ้าวิธีที่ผมบอกเมื่อกี้ไม่เวิร์ค สามารถเข้าไปอ่านบทความ ทำไมหน้าเว็บของฉันจึงหายไปจาก Google Search พร้อมวิธีแก้ไขอย่างละเอียดจาก Google ได้ครับ
เลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ
ถ้าตรวจสอบเรียบร้อย และไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เรามาดู 3 เหตุผล ที่เว็บไซต์ของคุณไม่ ติดอันดับ Google กันเลย
1. เว็บไซต์เพิ่งสร้าง หรือมีการเปลี่ยนแปลงใหม่
เหตุผลแรกที่เว็บไซต์คุณไม่ ติดหน้าแรก Google คือเมื่อเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ใหม่ เพิ่งมีการเพิ่ม หรือ ปรับแก้หน้าเว็บไซต์ใหม่ ถ้าเว็บไซต์คุณไม่มีปัญหานี้ ก็สามารถข้ามไปเช็คเหตุผลที่ 2 ได้เลยครับ
หากคุณเพิ่งสร้างเว็บไซต์ หรือหน้าเว็บใหม่ คุณต้องรอ 1 – 3 เดือน ถึงจะเห็นเว็บไซต์ของคุณในหน้าผลลัพธ์ของการค้นหาสำหรับกรณีที่ให้ GoogleBot รวบรวมข้อมูล และจัดทำดัชนีโดยอัตโนมัติ
ที่ต้องใช้เวลานานแบบนี้ ก็เพราะ GoogleBot ต้องทำการรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ (crawling) และจัดทำดัชนี (indexing) หน้าเว็บต่างๆ ของเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่ง แล้วไม่ใช่มีแค่เว็บไซต์เดียวด้วย
แต่ถ้าไม่อยากรอนาน คุณสามารถส่ง Sitemap หรือส่งคำขอรับการจัดทำดัชนีให้กับ Google Search Console วิธีนี้รอประมาณ 1 สัปดาห์ คนก็จะค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอได้แล้ว
ส่วนกรณีที่คุณปรับเปลี่ยนหน้าเว็บเพื่อให้มีอันดับสูงขึ้น (SEO) นอกจากที่คุณต้องทำตามคำแนะนำจากแหล่งอื่นๆ ให้ถูกต้องแล้ว คุณก็ต้องรู้ด้วยว่าผลลัพธ์จะไม่ออกมาทันทีหรอกครับ
การทำ SEO ด้วยตัวคุณเอง หรือด้วยบริการ SEO ของ MakeWebEasy เปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนวิ่งไปทีละก้าวด้วยความระมัดระวัง เพื่อไปให้ถึงเส้นชัย พูดง่ายๆ คือมันต้องใช้เวลา และการดูแลตลอดเวลานั่นเองครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง content หรือ technical เบื้องหลังก็ตาม
ฉะนั้นเรามาดูปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่อง technical ต่อในเหตุผลที่ 2 กันครับ
2. หน้าเว็บไซต์ไม่ถูกต้องตามนโยบายของ Google Search
Google จะตรวจจับทุกคอนเทนต์ และพฤติกรรมของเว็บไซต์ที่ละเมิดทั้งนโยบาย Google Search ทั้งหมด และนโยบายสแปม ด้วยระบบอัตโนมัติ และเจ้าหน้าที่ (หากจำเป็น)
สำหรับผลที่ตามมาของการละเมิดนั้นก็คือ เว็บไซต์จะมีอันดับต่ำกว่า หรือไม่แสดงเลยในผลการค้นหานั้นเอง
เว็บไซต์ที่ละเมิดนโยบาย Google Search ทั้งหมดส่วนใหญ่จะมีการใช้
- ภาพ หรือวิธีต่างๆ ที่ล่วงละเมิดทางเพศเด็ก
- ข้อมูลส่วนตัวเกินไปที่ Google คิดว่ามีความเสี่ยงต่อบุคคล
- วิธีการสแปม (หลอกลวงผู้ใช้ หรือระบบ)
- เนื้อหาที่อาจก่อให้เกิดความอันตราย หรือแสดงการทำร้ายตนเอง เช่น การสร้างบาดแผล หรือการใช้ยาเสพติด
- เนื้อหาที่แสดงความเกลียดชัง หรือความไม่เท่าเทียมทางสังคม (รวมทั้งการใช้คำหยาบคาย)
- เนื้อหาที่เห็นตรงข้ามกับแนวทางปฏิบัติ และคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ หรือการแพทย์ที่มีหลักฐานอ้างอิงอย่างชัดเจน
- เนื้อหาที่โปรโมตสินค้า หรือบริการที่มีการควบคุม เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาเสพติด อาหารเสริมที่ไม่ผ่านการอนุมัติ อาวุธ พลุและดอกไม้ไฟ หรือการพนัน เป็นต้น
แนวทางป้องกันเพื่อไม่ให้เว็บไซต์ของคุณละเมิดนโยบาย Google Search คือ คุณจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียดในแต่ละประเด็นที่ผมได้อธิบายข้างบน
แต่ถ้าเว็บไซต์คุณมีเนื้อหาที่ละเมิดนโยบายไปแล้ว ก็พยายามปรับแก้ให้ถูกต้องตามนโยบาย Google Search เพื่อทำให้เว็บไซต์คุณ ติดหน้าแรก Google ได้นะครับ
3. หน้าเว็บไซต์ไม่เอื้อต่อการค้นหา
เหตุผลสุดท้ายที่ทำไมเว็บไซต์ไม่ ติดหน้าแรก Google คือ หน้าเว็บไซต์ของเราไม่ได้เอื้อต่อการค้นหา ซึ่งมี 7 ข้อหลักๆ
ไม่สอดคล้องกับ Search Intent
Search Intent คือ คำศัพท์ หรือวลีที่คนจะใช้ในการค้นหาคำตอบในระบบค้นหาออนไลน์ต่างๆ และในที่นี้คือ เครื่องมือค้นหา Google (Google Search Engine)
การที่เราไม่ใส่ใจในการทำให้ content ของเราสอดคล้องกับ Search Intent ของคน หมายความว่าเรากำลังลดโอกาสที่เว็บไซต์ของเราจะติดอันดับแรกๆ ในผลการค้นหา
ในทางกลับกัน หากเราทำให้ content ของเราสอดคลองกับ Search Intent ก็หมายความว่า เรากำลังทำให้หน้าเว็บไซต์ของเราจะติดอันดับสูงๆ นั่นเองครับ
เพราะฉะนั้น คำถามก็คือ “เราสามารถรู้ว่าคนจะค้นหาอะไรได้อย่างไร?” คำตอบคือเราต้องทำความรู้จักกับ Search Intent ทั้ง 4 ประเภทกันก่อน
- เชิงข้อมูล (Informational) – เป็น Search Intent ที่คนอยากจะรู้คำตอบ ซึ่งเกี่ยวกับคำถาม what why where when who และ how เป็นต้นนอกจากการใส่ข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์แล้ว การเขียนบล็อกให้ความรู้ ถือเป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่งสำหรับ Search Intent เลยครับ
- เชิงการนำทาง (Navigational) – เป็น Search Intent ที่คนจะค้นหาเว็บไซต์นั้นๆ โดยเฉพาะ ผ่านช่องค้นหาใน Search Engine แทนการพิมพ์ URL ไปเลยตรงๆ เช่น การพิมพ์คำว่า makewebeasy บน Google แทนที่จะพิมพ์ URL (https://www.makewebeasy.com)
- เชิงพาณิชย์ (Commercial) – เป็นอีกประเภทหนึ่งของ Search Intent ของคนที่ต้องการช้อปปิ้งออนไลน์ ฉะนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้อัพเดทสต๊อกสินค้าบนหน้าเว็บของคุณ และ third-party เสมอ พร้อมโปรโมชั่นที่คุณกำลังมีอยู่ด้วยครับ
- เชิงการแปลผัน (Transactional) – เป็น Search Intent ที่คนอยากจะทำกิจกรรมบางอย่าง ซึ่งทำให้เกิด conversions ตัวอย่างเช่น มีคนกรอกแบบฟอร์มในเว็บไซต์คุณ มีคนกด CTA (โทร สั่งซื้อ ฯลฯ) บนเว็บไซต์คุณ หรือมี traffic จากแหล่งอื่น เพราะมีคนอยากรู้จักเว็บไซต์ของคุณ เป็นต้น
หลังจากที่คุณรู้ Search Intent ที่คนน่าจะมีแล้ว คุณก็สามารถปรับหน้าเว็บไซต์ของคุณให้มีคำศัพท์ และวลีเข้ากับประเภท Search Intent ที่เหมาะกับเว็บไซต์ เพื่อยกอันดับมันให้สูงขึ้นได้เลย
สร้าง content ที่ไม่มีคุณค่า
ข้อที่ 2 ที่หน้าเว็บไซต์ของคุณไม่เอื้อต่อการค้นหาคือ หน้าเว็บไซต์ของคุณมี Content ที่ไม่มี คุณค่า (value) ซึ่งหมายถึงรูปภาพ วีดีโอ และบทความในเว็บไซต์ที่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ไม่มีประโยชน์ต่อคนดู เมื่อดูแล้วไม่เข้าใจ ต้องออกไปหาข้อมูลจากแหล่งอื่นแทน
การที่เรามี content ที่ไม่มีคุณค่าแบบนี้ สาเหตุอาจจะมาจากการที่เราพยายามใช้วิธีต่างๆ เพื่อให้หน้าเว็บของเรา ติดหน้าแรก Google ซึ่งบางวิธีที่เรากำลังใช้อยู่นั้นอาจจะเป็นการหลอกลวงระบบ Google Search ก็ได้
ยกตัวอย่าง คุณต้องการให้หน้าเว็บไซต์ของคุณติดอันดับด้วยคำว่า “ตัดต่อวีดีโอ” จึงใส่คำว่า “ตัดต่อวีดีโอ” ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในหน้าเว็บนั้นๆ เพราะคิดว่าจะทำให้หน้าเว็บติดอันดับสูงๆ
แต่ในความจริงนั้น Google จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นสแปม เพราะมี keyword คำว่า “ตัดต่อวีดีโอ”เยอะเกินไป และทำให้หน้าเว็บไซต์ของคุณอยู่อันดับท้ายๆ หรือไม่แสดงเลยในผลการค้นหา
เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึงเรื่อง คุณค่า (value) ของ content เราจำเป็นต้องนึกถึงลูกค้า หรือคนดูเสมอ (ตัวอย่าง บทความนี้เป็นต้น!) และคำถามที่คุณต้องถามตัวเองในตอนนี้คือ
ฉันต้องทำอย่างไร เพื่อสร้าง content ในหน้าเว็บไซต์ให้มีความแตกต่าง มีประโยชน์ และมีคุณค่าที่สุดสำหรับ keyword นั้นๆ ต่อคนดู เมื่อเปรียบเทียบกับอีกร้อยพันหน้าเว็บไซต์
URL, Title และ Headline ของหน้าเว็บไม่สอดคล้องกัน
อีกข้อหนึ่งคือปัญหาเกี่ยวกับ URL, Title และ Headline หน้าเว็บไซต์ของคุณ เนื่องจาก Google Search ก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย และผมมีข้อแนะนำให้ดังต่อไปนี้
- URL
URL ของหน้าเว็บควรสื่อถึง keyword ของหน้านั้นๆ สมมุติว่า keyword ในบทความนี้คือ google first page ดังนั้น URL ก็คือ makewebeasy.com/on-google-first-page-quickly
URL ไม่สอดคล้องคือ URL ที่ไม่มี keyword และไม่ได้สื่อถึง content ที่มีในหน้าเว็บไซต์นั้นๆ
-
Title
Title ไม่ใช่ headline แต่มันคือ meta tags ของหน้าเว็บไซต์นั้นๆ สมมุติ Title ของหน้าบทความนี้คือ
การที่เราทำ Title ให้สอดคล้องกับ Content ของหน้าเว็บได้ มันจะช่วยเพิ่มการคลิก (click-throughs) พร้อมยกอันดับ rankings ของเว็บไซต์ด้วย
เคล็ดลับในการยกอันดับ rankings ในที่นี้คือใส่ keyword ในตำแหน่งต้นๆ ของ Title เลย เพราะถ้าใส่ในตำแหน่งท้ายๆ มันจะถูกตัดออก (อยู่กับความยาวของ Title) ในผลการค้นหา (SERPs) เหมือนในรูปตัวอย่าง
และแล้วอย่าลืมสร้าง Title ที่น่าสนใจ และดึงดูดด้วยนะครับ
ส่วน Meta Description ที่อยู่ข้างล่าง Title (meta tags) ก็สำคัญต่อ SEO เว็บไซต์ของคุณ ซึ่ง meta description ต้องมี keyword และเป็นย่อหน้าแรกของบทความด้วย
-
Headline
Headline อาจจะคล้าย หรือเหมือน Title ก็ได้ แต่ไม่มีชื่อเว็บไซต์ปิดท้ายเหมือน Title ตัวอย่างเช่น On Google First Page Quickly หรือ 3 Reasons Your Site Is Not on Google First Page
Headline ส่วนใหญ่จะเป็นหัวข้อแรก หรือ Heading 1 (h1) ของหน้าเว็บไซต์
ประเด็นเหล่านี้เป็นสิ่งที่ Google Search เอามาประเมิน และแสดงหน้าเว็บที่ดีที่สุดออกมาในผลการค้นหา และถ้าเราทำให้มันสอดคล้องกับ content ของเราได้ หน้าเว็บของเราก็จะ ติดหน้าแรก Google และเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่ Google Search แสดงออกมานะครับ
ไม่มี Internal Link และ External Link ที่ดี
การที่เว็บไซต์ไม่มี Internal Link และ External Link ที่ดี หรือไม่มีเลย เป็นอีกข้อหนึ่งที่ไม่เอื้อให้เว็บไซต์ ติดหน้าแรก Google เนื่องจาก Google Search คิดว่าการเชื่อมโยงกับแหล่งอื่นเป็นการแสดงถึงความเกี่ยวข้อง และน่าเชื่อถือของเว็บไซต์นั้นๆ
Internal Link เป็นลิงก์ที่เชื่อมไปหน้าต่างๆ ของเว็บไซต์หนึ่ง ฉะนั้นคำแนะนำก็คือ อย่าใส่ลิงก์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อความ หรือบทความนั้นๆ ถ้าไม่มีลิงก์ที่จะใส่จริงๆ พยายามเขียนตามปกติ และเป็นธรรมชาติทั้ง Link Text และประโยคที่อยู่รอบๆ Link Text ด้วย
สำหรับ External Link เราจำเป็นต้องให้ความสนใจกับทั้ง Inbound Link (Backlink) และ Outbound Link เนื่องจากเราต้องสร้างความน่าเชื่อถือ โดยการถูกนำไปอ้างอิงในบทความหรือเว็บไซต์อื่นๆ และสร้างความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีคุณภาพ และเชื่อถือได้ด้วย
หากเราสร้าง Link ในเว็บไซต์ที่ดีได้แล้ว Google Search จะเข้าใจถึงคุณภาพ และความเชี่ยวชาญเว็บไซต์ของเรา แล้วส่งผลลัพธ์เชิงบวกต่ออันดับหน้าเว็บไซต์ในผลการค้นหาอย่างมาก
เว็บไซต์ไม่ได้อัพเดทนานเกินไป
ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และไม่แน่นอนอย่างปัจจุบัน content หน้าเว็บไซต์ของเราก็ต้องมีการอัพเดท ดีไซน์ และปรับปรุงใหม่ตลอดเวลาตามพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายของเรา เพื่อให้หน้าเว็บไซต์เอื้อต่อการค้นหาของพวกเขา
การที่เว็บไซต์ของเราอยู่ในอันดับหนึ่งในผลการค้นหา ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่แบบนั้นตลอดกาล
ไม่ใช่มีแค่นี้ครับ การที่เราต้องทำแบบนี้ก็เพราะ Google ประเมินเว็บไซต์ของเราด้วย ความสดใหม่ (Freshness) ดังนั้นอย่าลืมปรับปรุงเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มคุณภาพ และโอกาสให้กับเว็บไซต์ของคุณนะครับ
เว็บโหลดช้า
ความเร็วในการโหลดของหน้าเว็บไซต์เป็นอีกข้อหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากต่ออันดับเว็บไซต์ เพราะถ้าหน้าเว็บของเราใช้เวลานานในการประมวลผลที่จะแสดงคอนเทนต์ออกมา คนก็จะไม่รอ และกดออกไปหาเว็บอื่น ซึ่งการกระทำแบบนี้ส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมากต่อ SEO เว็บไซต์ของเรา
Google จะเข้าใจว่า การที่คนกดเข้าเว็บไซต์ของเราแล้วกดออกทันทีแบบนี้แสดงว่าเว็บไซต์เราไม่มีคุณภาพ และไม่ได้สร้างประสบการณ์ที่ดีต่อคนดู
เพราะฉะนั้น คุณสามารถตรวจสอบความเร็ว และข้อแนะนำต่างๆ ที่ Google ให้มาได้ใน PageSpeed Insights ซึ่งเป็น product จาก Google โดยตรง
เว็บไซต์ไม่เป็น Mobile Responsive
เนื่องจากการค้นหาจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ (เช่น สมาร์ทโฟน) มีจำนวนมากกว่าอุปกรณ์ประเภทอื่นๆ การที่เว็บไซต์ของเราไม่สนับสนุนการใช้งานบนมือถือกลายเป็นปัจจัยอย่างสำคัญที่ Google เอามาพิจารณาในการจัดอันดับเว็บไซต์ ซึ่งมีการประกาศอย่างจริงจังเมื่อเดือนมีนาคม 2020
หมายความว่า Google Search จะใช้บอทรวบรวมข้อมูล (crawl) สำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นอันดับแรก และสำหรับอุปกรณ์บนโต๊ะ (desktop) เป็นครั้งๆ เท่านั้น
เพราะฉะนั้น เราต้องปรับเว็บไซต์ของเราเพื่อให้ผู้ใช้งานผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่สามารถใช้งานอย่างสะดวกสบาย และร้องรับการใช้งานบนหลากหลายอุปกรณ์ได้
และเราก็สามารถเช็คว่า status การใช้งานเว็บไซต์ของเราบนอุปกรณ์เคลื่อนที่นั้นดีหรือไม่ดีได้ใน Google Search Console
ปัจจัยอื่นๆ ที่เว็บไม่ ติดหน้าแรก Google
- ไม่มีบัญชี Google My Business หรือจัดการไม่ดี
Google My Business เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยระบุตัวตนของธุรกิจว่าดำเนินการอยู่ที่ไหน และมี ratings อย่างไรบ้าง
เพราะฉะนั้น คุณจำเป็นต้องเข้าไปสร้างบัญชีธุรกิจของคุณใน Google My Business บริการลูกค้าให้ดีที่สุด และสร้างการรีวิวเชิงบวกให้ได้มากที่สุด ซึ่งถ้าทำได้ดี เว็บไซต์ของคุณจะอยู่อันดับแรกในเซกชั่นที่เรียกว่า Local Map Pack
- ไม่ได้ร่วมงานกับผู้อื่น
การร่วมงานกับผู้อื่นเป็นแรงช่วยกระตุ้นคุณภาพ Outbound Link เว็บไซต์ของคุณ โดยคุณสามารถทำการแลกเปลี่ยนการเมนชั่นบทความในบล็อกกัน หรือทำเป็นแขกรับเชิญก็ได้ เพื่อสร้างการเชื่อมโยง ความเกี่ยวข้อง และความน่าเชื่อถือที่ Google จะจัดเว็บไซต์ของคุณในอันดับที่สูงขึ้น
- ใช้ keyword ที่มีการแข่งขันสูง
การที่คุณใช้ keyword มี volume สูงนั้นดีแล้ว แต่ถ้าการแข่งขัน (Keyword Difficulty) ของ keyword นั้นๆ สูง มันก็ไม่ได้ช่วยยกอันดับเว็บไซต์ของคุณอยู่ดี
ฉะนั้น คุณต้องทำการบ้าน keyword ในเครื่องมือต่างๆ เช่น Mangrool, Semrush หรือ Google Keyword Planner ก่อนที่จะเลือก keyword ที่มี volume สูง และการแข่งขันน้อยครับ
- หน้าเว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัย
เมื่อปี 2014 Google มีประกาศอย่างเป็นทางการว่า HTTPS ซึ่งเป็นตัวที่บอกถึงความปลอดภัยของเว็บไซต์ จะเป็นปัจจัยหนึ่งในหลายๆ ปัจจัยที่กำหนด ranking เว็บไซต์ต่างๆ ที่มีใน Google Search
ดังนั้น ถ้าเว็บไซต์ของคุณยังเป็น HTTP มันจะทำให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับต่ำในผลการค้นหานั่นเองครับ
ถ้านี้เป็นเคสที่เว็บไซต์คุณกำลังเจอ อย่าลืมเปลี่ยน Protocal เว็บไซต์จาก HTTP เป็น HTTPS นะครับ
สรุป
เป็นยังไงบ้างครับ เจอเหตุผลที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่ ติดหน้าแรก Google มั้ย ? หลังจากที่อ่าน 3 เหตุผลหลักๆ ที่ผมยกมาในบทความนี้จบแล้ว
บทความนี้อาจจะยาวไปนิดนึง แต่ค่อยๆ ทำที่ล่ะสเตปนะครับ เพราะที่ผมอธิบายไปล้วนเป็นโพรเซสทั้งนั้น ไม่ใช่ทำแล้วเสร็จเลยที่เดียว แต่ถ้าคุณทำสำเร็จ ธุรกิจของคุณจะมีคนรู้จักมากขึ้น และเพิ่มยอดขายได้นั้นเอง
สร้างโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณติดหน้าแรก Google เพิ่มผู้ชม และยอดขายบนเว็บไซต์ด้วยบริการ SEO ของเราให้ธุรกิจคุณเหนือกว่าคู่แข่ง บริการทำ SEO จาก MakeWebEasy