SEO Trends 2020 รู้เทรนด์ รู้วิธีทำ ดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับ Google
ปัจจุบันการทำธุรกิจออนไลน์ เว็บไซต์ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจ เช่นเดียวกับการทำ SEO ก็เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่ทุกเว็บไซต์จะขาดไปไม่ได้
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่ทำธุรกิจออนไลน์ ก็ไม่ควรพลาดข่าวสาร และเทรนด์การตลาดออนไลน์เหล่านี้
ในปี 2020 การทำ SEO จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน มีวิธีอะไรบ้างที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นมาอยู่บนหน้าแรก Google ลองศึกษาเทรนด์ และแนวทางในการทำ SEO สำหรับปี 2020 กันครับ
4 เทรนด์ SEO สำหรับปี 2020
1. Featured Snippets
หลายคนอาจเคยได้ยินหรือ รู้จัก Featured Snippets นี้กันบ้างแล้ว สำหรับคนทำ SEO อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่มาก แต่ตอนนี้มันก็เป็นเรื่องที่คนให้ความสำคัญกันมากยิ่งขึ้น
Featured Snippets เป็นกล่องข้อความที่แสดงอยู่ด้านบนสุดของผลการค้นหา เหนือเว็บไซต์อันดับแรก หรือที่หลายคนเรียกว่า Zero Position การจะขึ้นไปแสดงในส่วนนี้ไม่จำเป็นต้องทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับหนึ่ง ก็สามารถขึ้นไปได้ และทำให้เราได้ Traffic มากขึ้นอีกด้วย
แล้วเราจะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Zero Position ได้อย่างไร?
คำตอบคือ.. ยังไม่มีคำตอบที่แน่นอนครับ
ในตอนนี้ Google เป็นคนเลือกเองครับว่า คำตอบของใครดีที่สุด และควรเอาขึ้นไปแสดง
แต่มีผลสำรวจของหลายๆ เว็บไซต์ในต่างประเทศระบุเอาไว้ว่า เว็บไซต์ที่ติด Zero Position จะมีโครงสร้างเว็บไซต์แบบนี้
- บทความที่มีโครงสร้าง มีเนื้อหาที่ชัดเจน แบ่งหัวข้อพร้อมใส่ Tag H1, H2, H3 (Search Engine Land)
- เว็บไซต์ติดอันดับ 1-10 บนหน้าแรก Google (ahrefs)
- ใช้ Keyword ประเภทคำถามเช่น SEO คือ, Featured Snippets คือ (Mangools)
ทำไม Featured Snippets ถึงกลายคนเทรนด์ที่หลายคนจับตา
- Featured Snippets ทำให้เว็บไซต์ที่ไม่ติดอันดับแรก ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง Zero Position และทำให้เว็บไซต์นั้นได้ Traffic เพิ่มมากขึ้น
- พื้นที่ในการแสดงผลของ Featured Snippets มีเยอะ และโดดเด่น ทำให้คนเห็นได้ชัดเจน
- ผลการสำรวจของ ahrefs พบว่า ผลการค้นหาที่ไม่มี Featured Snippets เว็บไซต์อันดับแรกจะมี CTR อยู่ที่ 26%
เมื่อเทียบกับการค้นหาที่มี Featured Snippets CTR ของ Featured Snippets จะอยู่ที่ 8.6% และเว็บไซต์ที่อยู่อันดับแรกมี CTR 19.6% นั่นหมายความว่า Featured Snippets ได้เข้ามาแย่ง CTR ของเว็บไซต์อันดับแรกไปนั่นเอง
2. WebP
อีกหนึ่งปัจจัยที่จะเป็นตัวกำหนดอันดับเว็บไซตของเราก็คือ Page Speed นอกจากจะช่วยให้อันดับเว็บไซต์ของเราดีขึ้นแล้ว การทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วยังช่วยให้ประสบการณ์การใช้งานของผู้ชมเว็บไซต์ดีขึ้นด้วย และสิ่งที่ส่งผลต่อความเร็วบนเว็บไซต์ของเราก็คือ รูปภาพ, ภาพเคลื่อนไหว หรือวีดีโอ บนเว็บไซต์ของเรานั่นเอง
โดยปกติแล้วไฟล์ภาพที่เราใช้อัพขึ้นเว็บไซต์จะเป็นนามสกุล .JPEG .PNG และ .GIF แต่ตอนนี้ Google ได้พัฒนาไฟล์ภาพแบบใหม่ขึ้นมา มีชื่อเรียกว่า WebP เป็นไฟล์ภาพที่ถูกบีบให้มีขนาดเล็กมากๆ แต่ไม่สูญเสียคุณภาพเลยแม้แต่น้อย เพื่อให้เราสามารถนำไปใช้กับเว็บไซต์ และให้เว็บไซต์ของเราโหลดไว้ขึ้น
ขึ้นชื่อว่าพัฒนาโดย Google ของต้องดีแน่นอน!
ความเจ๋งของ WebP
- WebP มีขนาดเล็กกว่าไฟล์ PNG 26% แต่มีความโปร่งใส และความละเอียดเท่ากับ PNG
- WebP มีขนาดเล็กกว่าไฟล์ JPEG 25 – 35% แต่ความละเอียดของภาพยังเท่าเดิม
- WebP มีขนาดเล็กกว่าไฟล์ GIF 64% และเป็นไฟล์ที่มี 24 bit มากกว่าไฟล์ GIF ที่มีแค่ 8 bit
ความแตกต่างก่อน และหลังการเปลี่ยนไฟล์ภาพเป็น WebP
แม้ว่า WebP จะมีคุณภาพมาก และขนาดไฟล์ที่เล็กกว่า แต่ในปัจจุบัน Browser ที่รองรับไฟล์ WebP นั้นยังไม่ใช่ทั้งหมด จะมีแค่ Google Chrome, Microsoft, Firefox และ Opera สำหรับ Safari ยังไม่ได้นะครับ
หากใครที่ต้องทำไฟล์ WebP สามารถคลิกที่นี่ได้เลย Online-Convert เพราะว่าตอนนี้ Photoshop ยังไม่รองรับการเซฟไฟล์เป็นแบบ WebP
3. Voice Search
เตรียวตัวให้พร้อม Voice Search มาแน่ แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีผู้ใช้การค้นหาด้วยเสียงจำนวนไม่มากนัก อีกทั้งยังพบปัญหาต่างๆ เวลาใช้งาน อย่างเช่น ตัวแอพพลิเคชั่นยังไม่เข้าใจคำที่เราพูด ในด้านการออกเสียง หรือทางด้านภาษา แต่ในปี 2020 นี้ Voice Search มาแน่ เพราะที่ผ่าน AI ได้เรียนรู้มากขึ้น ฉลาดมากขึ้น รองรับคำถามยาวๆ และโต้ตอบได้ดีขึ้น การใช้คำพูดแบบสบายๆ ก็สามารถค้นหาข้อมูลได้แล้ว
20% ของการค้นหาบนมือถือ เป็นการค้นหาด้วยเสียง
31% ของคนที่ใช้สมาร์ทโฟนทั่วโลก ใช้การค้นหาด้วยเสียงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง
61% ของคนที่ใช้ Voice Search จะใช้ตอนที่มือไม่ว่าง หรือกำลังมองอย่างอื่นอยู่
มีสถิติพบว่า ส่วนใหญ่การค้นหาด้วยเสียงมักจะเป็นคำถาม หรือเป็นประโยคที่ยาวกว่าการค้นหาแบบ Text ตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟที่ใกล้ที่สุด อยู่ที่ไหน, ร้านกาแฟนั่งทำงานได้ มีที่ไหนบ้าง หากเป็นการค้นหาแบบ Text เราคงพิมพ์แค่คำสั้นๆ อย่าง ร้านกาแฟ ราชเทวี, co-working space
เมื่อเรารู้ว่า Voice Search ต้องมาแน่นอน สิ่งที่เราต้องทำต่อไปก็คือ การทำเว็บไซต์ให้รองรับ Voice Search นั่นเอง
การทำเว็บให้รองรับ Voice Search
- ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับในหน้าแรกของ Google
ผลสำรวจจากเว็บไซต์ backlinko.com พบว่า เมื่อเราใช้การค้นหาด้วยเสียง Google จะตอบกลับมาด้วยเสียง และเป็นข้อมูลที่อยู่ใน 3 อันดับแรกบนหน้า Google
- ตั้งคำถาม และใส่คำตอบในเนื้อหาเว็บไซต์
อย่างที่กล่าวไปว่า การค้นหาด้วยเสียงส่วนใหญ่มักจะเป็นการตั้งคำถาม หากเราเขียนบทความในรูปแบบของการตอบคำถามก็จะช่วยให้เว็บไซต์ของเรา รองรับการค้นหาแบบเสียง
และเมื่อเราใช้ Voice Search โดยการตั้งคำถาม Google จะตอบกลับจากผลลัพธ์ที่เป็น Featured Snippets
4. AI (Artificial Intelligence)
ตอนนี้ Google ได้ประกาศออกมาว่า เขาคือ AI first company แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ทุกตัวของ Google จะมี AI เข้ามาเกี่ยวข้อง สำหรับ SEO แล้ว ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เพราะการจัดอันดับเว็บไซต์บนหน้า Google ก็ใช้ AI ในการจัดอันดับ
RankBrain คือเทคโนโลยี AI ตัวหนึ่งของ Google ที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อปี 2015 Google นำมาใช้ในการจัดอันดับผลการค้นหา ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน โดยดูจาก User Signals หรือก็คือค่าต่างๆ อย่างเช่น
- Bounce Rate (เปอร์เซ็นการกดออกเว็บไซต์)
- Mobile-Friendly (ใช้งานง่ายบนมือถือ)
- Average Load Time (ความเร็วในการดาวน์โหลดเว็บไซต์)
- Percentage of repeat visitors (จำนวนผู้ชมเว็บไซต์ที่เข้ามาดูซ้ำๆ)
- Percentage of search traffic from brand queries (จำนวนผู้ชมที่ค้นด้วยเราด้วยชื่อแบรนด์)
- Click-through rate (อัตราการคลิกเข้าชมเว็บไซต์)
- Pageviews per visitor (จำนวนหน้าที่ถูกเปิดดู)
- Average time on site (เวลาที่ผู้ใช้งานอยู่บนเว็บไซต์)
ไม่ว่าเทรนด์การทำ SEO ในแต่ละปีจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน มีเทคนิค และเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น วัตถุประสงค์ของ Google ก็ยังเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานเว็บไซต์ และสิ่งจะทำให้เว็บไซต์ของเราตอบโจทย์ Google ได้ดีที่สุดก็คือ การทำให้ผู้ใช้งานชอบเว็บไซต์ของเรา ด้วยการทำ Content ให้มีคุณภาพ
สร้างโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณติดหน้าแรก Google เพิ่มผู้ชม และยอดขายบนเว็บไซต์ด้วยบริการ SEO ของเราให้ธุรกิจคุณเหนือกว่าคู่แข่ง