5เทคนิค ปรับ Landing Page เพิ่มยอดขายให้โฆษณา Google
Website, Google Ads
Website, Google Ads

5 เทคนิคปรับ Landing Page เพิ่มยอดขายให้โฆษณา Google

แก้โฆษณามาหมดทุกทางแล้ว ทั้งปรับ keyword , เพิ่มงบ , แก้ Ads Text แต่ทำยังไง โฆษณา Google ก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้นซะที

อาจเป็นเพราะคุณอาจหลงลืมสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการทำโฆษณา Google ไปค่ะ

นั่นก็คือ Landing Page หรือหน้าเว็บไซต์ของคุณนั่นเอง

 

Landing Page คือ อะไร?

Landing Page คือ หน้าเว็บแบบ Standalone สร้างขึ้นสำหรับการทำแคมเปญการตลาด หรือแคมเปญโฆษณาโดยเฉพาะ เป็นหน้าเว็บไซต์ที่เราต้องการให้ user ไปถึงเมื่อเขาได้คลิกลิงก์ ไม่ว่าจากอีเมล หรือคลิกลิงก์โฆษณาออนไลน์บนแพลตฟอร์มใด ๆ ก็ตาม

landing page กับ home page ต่างกันยังไง

 

ความแตกต่างระหว่าง Landing Page กับ หน้าเว็บไซต์ 

วัตถุประสงค์หลักของการทำ Landing Page คือ ต้องการให้คนที่เข้ามากระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงมักจะมี Call To Action (CTA) เพียงแค่อย่างเดียว เช่น Landing Page โปรโมชั่น xx ลดราคา 20% ก็มีแค่ปุ่ม Buy now ปุ่มเดียวเด่นๆ เพราะต้องการให้คนเข้ามาซื้อสินค้าชิ้นนี้เท่านั้น

ส่วนหน้า HomePage หรือหน้าเว็บไซต์ จะมีจุดประสงค์ที่หลากหลาย เน้นให้ผู้คนเข้ามาสำรวจหน้าเว็บ หากเจอสิ่งที่สนใจก็สามารถคลิกเพื่อไปต่อได้เลย 

 

การมีลิงก์บน Landing Page น้อย จำนวน Conversion จะเกิดมากขึ้น

 

นักการตลาดส่วนมาก จึงชอบใช้ Landing Page เป็นปลายทางของการยิงโฆษณากูเกิ้ล และต้องโฟกัสกับการออกแบบหน้า Landing และโฟลวการใช้งานมากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากการทำโฆษณาให้น่าสนใจด้วยคำโดน ๆ คุณยังต้องทำให้ลูกค้าสนใจหน้า Landing ที่ส่งเขาไปด้วย 

 

วันนี้ เราจึงอยากแนะนำ เทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา Google Ads ด้วยการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้เว็บไซต์ (UX) เพื่อให้ผู้ใช้งาน หรือลูกค้าของคุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด หลังจากคลิกที่โฆษณาเข้ามาค่ะ

 

เทคนิคปรับ Landing Page เพิ่มยอดขายให้โฆษณา Google  

 

1) เช็ค Landing Page ว่าตรงกับโฆษณา Google มั้ย ?

ใครเคยเห็นโฆษณา Google ที่เขียนขายอย่างนึง แต่พอคลิกเข้าไปแล้วดันเป็นหน้าสินค้าอื่นกันบ้าง ?

คงหงุดหงิดใจกันใช่มั้ยคะ และนั่นก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ลูกค้าเลือกที่จะกดปิดหน้าเว็บไซต์นั้น แทนที่จะไล่ตามหาสินค้าที่สนใจ เท่ากับเสียคนที่จะมาเป็นลูกค้าไปเลย

ฉะนั้น คุณควรเลือกหน้า Landing ที่เกี่ยวข้องกับข้อความโฆษณา (Ads Text) และ Keywords ของธุรกิจคุณมากที่สุด เพราะความเชื่อมโยงระหว่างโฆษณา Google กับหน้า Landing ของคุณจะเป็นสิ่งที่เชื่อมระหว่างผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้ากับการสั่งซื้อ ยิ่งเกี่ยวข้องโดยตรงมากเท่าไหร่ คุณก็มีโอกาสได้รับ Conversion มากขึ้นเท่านั้น

เช็ค Landing Page ว่าตรงกับโฆษณามั้ย

ตัวอย่างเช่น 

Keyword : กระเป๋าหนังลดราคา

และข้อความโฆษณาระบุว่ากระเป๋าหนังลดราคา 20% ลูกค้าที่คลิกโฆษณาเข้ามาจะต้องเห็นสินค้า และสามารถสั่งซื้อกระเป๋าหนังด้วยโปรโมชั่นดังกล่าวได้ใน Landing Page 

นอกจากนี้ Landing Page ยังต้องสอดคล้องกับคำกระตุ้นการตัดสินใจ (Call to Action) ในโฆษณาด้วย 

เช่น ถ้าข้อความโฆษณาต้องการให้ลูกค้าลงชื่อทดลองใช้ฟรี หน้าเว็บไซต์ หรือแลนดิ้งเพจต้องแสดงแบบฟอร์มให้เห็นอย่างชัดเจน และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมด้วยนะ

 

2) Landing Page ต้องเร็ว & Mobile Friendly

 

53% ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ จะกดออกทันที หากโหลดนานเกิน 3 วินาที

Landing Page ของคุณจึงต้องโหลดให้ไว ไม่ปล่อยให้ลูกค้ารอนานเกินไปจนหงุดหงิดนะคะ เพราะฉะนั้น คุณควรคิดให้รอบคอบเกี่ยวกับการใส่รูปภาพ หรือคลิปวิดิโอลงบนหน้าเพจ หรือแม้แต่ Pixel หรือ Tracking Code ที่มากเกินไป ก็อาจจะเพิ่มน้ำหนักให้หน้า Landing ได้ค่ะ 

วัดความเร็วของหน้าเว็บไซต์ของคุณดูที่ PageSpeed Insights 

Landing Page ต้องเร็ว & Mobile Friendly

อีกส่วนหนึ่งที่ต้องโฟกัสก็คือ การเข้าชมเว็บไซต์จากทาง mobile ทั้งสมาร์ทโฟน หรือแท็ปเลตต่าง ๆ คนเหล่านั้นอาจมองหาสิ่งที่เขาต้องการได้ยาก ในหน้าจอที่มีขนาดเล็กลง เพราะฉะนั้น คุณควรออกแบบหน้า Landing ให้โชว์ข้อความที่คุณต้องการสื่อสารทันทีที่เปิดเข้าไป พร้อมปุ่ม Call-To-Action ที่มองเห็นเด่นชัด ไม่แสดงข้อมูลที่ต้องไถหน้าเว็บมากเกินไป จะทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกเบื่อและกดออกได้ค่ะ

 

 

3) ใส่ Call To Action ที่ชัดเจน

ให้เช็ค Landing Page ของคุณ ว่ามีช่องทางให้ลูกค้าติดต่อได้สะดวก และเป็นจุดที่มองเห็นได้ชัดเจนในหน้านั้นหรือไม่ อาจจะเป็น เบอร์โทรศัพท์ แบบฟอร์มติดต่อเรา หรือปุ่มไปที่แชท ให้อยู่ตำแหน่งที่เด่นชัด ไม่ทำให้ลูกค้าต้องค้นหาข้อมูลที่เขาต้องการแบบยากลำบากเกินไป และอย่าทำให้หน้าเว็บไซต์รก ด้วยการแปะโฆษณาคั่นและแสดง pop up banner ที่มากเกินไปด้วยค่ะ

Call To Action ชัดเจน

สำหรับการทำแคมเปญโฆษณา เราแนะนําให้คุณคิด Call to Action ที่ชัดเจนก่อนที่จะทำโฆษณา Google นะคะ หากมีวิธีที่ให้ลูกค้าติดต่อคุณได้ คุณก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการใช้งบโฆษณาโดยเปล่าประโยชน์ไปได้ดีเลยล่ะ

 

4) เนื้อหาตอบโจทย์ โดดเด่นกว่าใคร

พยายามนำเสนอเนื้อหาที่มีประโยชน์ และไม่ซ้ำใครเกี่ยวกับสิ่งที่คุณจะลงโฆษณา Google ในหน้า Landing ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลผลิตภัณฑ์ หรือข้อมูลของบริการในธุรกิจ รวมถึงลักษณะของธุรกิจอย่างชัดเจน คุณอาจจะเพิ่มเซั่น Testimonial หรือ รีวิวจากผู้ใช้จริงเข้าไป เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจและตัดสินใจสั่งซื้อได้ง่ายขึ้นค่ะ

 

สิ่งที่ดึงดูดใจคนไทยมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นโปรโมชั่น หากสินค้านั้นกำลังจัดโปรอยู่ล่ะก็ คุณดึงสิ่งนี้ขึ้นมาโชว์เด่น ๆ ได้เลยค่ะ มันจะช่วยส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้ามากขึ้น และเหนือกว่าคู่แข่งมากขึ้นอีกด้วย 

เนื้อหาตอบโจทย์ โดดเด่นกว่าใคร

 

5) ให้ลูกค้าใช้ Landing Page ได้ง่าย

สิ่งที่ควรทำบน Landing Page คือ การอำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าชมหน้าเว็บ ให้พวกเขาสามารถดำเนินการตามที่คุณต้องการได้ง่าย และรวดเร็วที่สุด เช่น สั่งซื้อสินค้า โทรสอบถามหรือทักแชทเพื่อติดต่อ นอกจากนั้น ข้อความบนหน้า Landing ยังต้องชัดเจน กระชับได้ใจความ ไม่ยาวเกินไปจนคนไม่อ่านด้วยนะ 

ลูกค้าใช้ Landing Page ได้ง่าย

 

รู้แล้ว เริ่มเลย!

นี่เป็นเพียง 5 เทคนิคง่าย ๆ ในการปรับ Landing Page ที่คุณก็สามารถทำเองได้ เรารับรองว่าวิธีเหล่านี้ ถ้าได้ลองนำไปใช้จริงแล้ว โฆษณา Google ของคุณจะไม่เงียบเหงาอีกต่อไป และมันจะช่วยเพิ่มยอดขายให้โฆษณา Google ได้จริงค่ะ

หากคุณต้องการที่ปรึกษา หรืออยากให้ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเรื่อง Google Ads มาช่วยดูแลธุรกิจของคุณ ติดต่อทาง MakeWebEasy ได้ทุกช่องทางเลยนะคะ