Conversion คือ อะไร? สิ่งสำคัญที่เจ้าของธุรกิจออนไลน์ต้องรู้ !
เจ้าของธุรกิจหลายคนอาจจะคุ้นเคยกันดีกับคำว่า “Conversion” เพราะพวกทีมมาเกตติ้งหรือเอเจนซี่ที่ทำการตลาดให้เขาชอบพูดกัน ไม่ว่าจะ Conversion Rate , Conversion Tracking หรือราคาต่อ Conversion แต่ Conversion คือ อะไรกันล่ะ ?
Conversion คือ อะไร ?
คอนเวอร์ชั่น หรือ Conversion คือ กิจกรรมใด ๆ ก็ตามของลูกค้าที่เข้ามาในเว็บไซต์ของเรา ที่อาจทำให้เกิดมูลค่า (ที่เขาเรียกว่ามี value) เช่น การสั่งซื้อ การสมัครสมาชิก การเสิร์ช การกดปุ่มติดต่อ ฯลฯ โดยเราเป็นคนกำหนดกิจกรรมนั้นได้เอง โดยติดตามผ่าน Conversion Tracking ที่ได้ติดตั้งไว้บนเว็บไซต์ค่ะ
ซึ่งแต่ละธุรกิจจะมี Conversion แตกต่างกัน จะขอยกตัวอย่างคอนเวอร์ชั่นหลักที่มักเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของเหล่า Marketing มาให้ดูค่ะ
- Purchase : การสั่งซื้อ
- Leads : ลูกค้าใหม่
- Sign up : สมัครสมาชิก
- Call : การโทร
- Submit form : การลงทะเบียนกรอกฟอร์ม
ไอเดียหลักของ Conversion คือ การทำให้ Conversion เหล่านั้นเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าให้ได้
ซึ่งลูกค้าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสั่งซื้อเกิดขึ้นถูกมั้ยคะ แต่ใช่ว่าเราจะ Tracking แค่ตัว Purchase ก็พอนะ คอนเวอร์ชั่นอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ อาจจะนำพาให้ user นั้นกลายเป็นลูกค้าใหม่ได้เหมือนกัน เพราะทุกคอนเวอร์ชั่นจะแสดงถึงความสนใจของ user ค่ะ
ทำไม Conversion ถึงสำคัญกับธุรกิจออนไลน์ ?
✅ วัดผลธุรกิจว่าได้กำไรหรือไม่
เมื่อเราลงทุนกับการทำการตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการทำเว็บไซต์ การยิงโฆษณา เราก็ควรจะรู้ว่ามันได้ผลมั้ย? ทำกำไรให้มากน้อยแค่ไหน? เพื่อเอาไปใช้วางแผนการตลาดต่อไป
อย่างที่ได้บอกไปว่าหัวใจหลักของ Conversion คือ การทำให้เกิดลูกค้าใหม่
ซึ่งธุรกิจส่วนใหญ่จะวัดผลจากการสั่งซื้อ (Purchase) นี่แหละค่ะ การวัดคอนเวอร์ชั่นจึงสำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวเลขที่บอกถึงจำนวนของ user สนใจสินค้า และสุดท้ายแล้ว เขาได้ตัดสินใจซื้อหรือเปล่า ขายได้เป็นจำนวนเท่าไหร่ เมื่อหักลบกับต้นทุนแล้วคุ้มหรือไม่นั่นเองค่ะ
✅ รู้พฤติกรรมของลูกค้าบนออนไลน์
นอกจากการสั่งซื้อที่เป็น Conversion หลักของหลายธุรกิจแล้ว ในหนึ่งเว็บไซต์ยังต้องติดตามคอนเวอร์ชั่น (Conversion Tracking) ตัวอื่น ๆ ด้วย เพื่อให้รู้ถึงเส้นทางของ user เมื่อได้เข้ามาในเว็บไซต์แล้ว เพราะมันบ่งบอกถึงความสนใจของพวกเขา
แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้อง Tracking ในทุกสเต็ป ทุกหน้า ทุกปุ่ม Call-To-Action ขนาดนั้น แต่เราแค่เลือกติดตั้งแค่เหตุการณ์ (Event) ที่เราอยากวัดผลและเหตุการณ์นั้นสร้างมูลค่าสำหรับธุรกิจได้ก็พอค่ะ
ตัวอย่างเช่น
เว็บไซต์ขายคอนโด ต้องการให้คนที่สนใจเข้ามากรอกแบบฟอร์ม เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อไป
สิ่งที่อยากจะวัดผลก็อาจจะเป็น
- คนที่เข้ามาอ่านข้อมูลคอนโด (Conversion : View Product)
- คนที่กรอกฟอร์มและคลิกส่งข้อมูล (Conversion : Lead / Complete Registration)
หากเราติดตั้ง Conversion Tracking แล้ว เราจะรู้ได้ว่ามีคนสนใจสินค้ากี่คน > ตัดสินใจลงชื่อ (Lead) ทั้งหมดกี่คน แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ในเชิงการตลาด เพื่อปรับปรุงแผนและหน้าเว็บไซต์ต่อค่ะ
✅ เก็บข้อมูลลูกค้ามาทำโฆษณา Remarketing
หลายคนน่าจะเคยเจอบ่อย ๆ กับแบนเนอร์โฆษณาที่มักโผล่มาตามเว็บหรือโซเชียลมีเดีย โดยโฆษณานั้นก็เป็นสินค้า / บริการ ที่เราเพิ่งกดเข้าไปดูเมื่อกี้นี้เอง สิ่งนี้เรียกว่า โฆษณา Remarketing ค่ะ
การติดตั้ง Conversion Tracking ทำให้เราได้ข้อมูลพฤติกรรมของ user ที่เข้ามาในเว็บไซต์ เราก็นำข้อมูลตรงนี้มาทำโฆษณา Remarketing เพื่อยิงโฆษณาไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นผ่านช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Google Ads , Facebook Ads , LINE Ads , Twitter Ads และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้ค่ะ
ยกตัวอย่างต่อจากด้านบน
เราสามารถทำโฆษณา Remarketing เกี่ยวกับข้อมูลคอนโด หรือ สิทธิพิเศษต่าง ๆ ไปให้กับคนที่เข้ามาอ่านข้อมูลคอนโดบนเว็บไซต์ แต่ยังไม่ได้กรอกฟอร์มลงทะเบียนมาก็ได้ เป็นการย้ำและเสนอสิ่งที่น่าสนใจให้กับเขา เพื่อกระตุ้นการอยากซื้อมากขึ้น และอาจทำให้เขากลับมาในเว็บไซต์ และเกิดการลงทะเบียนสำเร็จ
เมื่อติดตั้ง Conversion Tracking บนเว็บไซต์เรียบร้อย
การเพิ่มจำนวน Conversion คือ อีกสิ่งที่เหล่า Marketing ต้องพยายามเข็นกันเต็มกำลัง แล้วเราต้องทำยังไงให้เว็บไซต์เกิดคอนเวอร์ชั่นมากขึ้นล่ะ ?
-
โฟกัสที่ Call To Action
หน้าเว็บไซต์แต่ละหน้า ควรมีคำกระตุ้นการตัดสินใจหรือที่เรียกกันว่า Call To Action (CTA) โดยตรงสักหนึ่งอย่าง เป็นการบอกกับ user ที่เข้ามาในหน้านั้นว่าเขาต้องทำอะไรต่อไป บางทีการใช้ CTA ที่เยอะเกินไปในหน้าเดียว จะทำให้พวกเขาสับสนว่าต้องทำอะไรกันแน่ อาจส่งผลให้เราได้ Conversion น้อยลงค่ะ
หน้าเว็บที่มีลิงก์เดียว อัตรา Conversion 13.5%
หน้าเว็บที่มีลิงก์มากกว่า 2 ลิงก์ Conversion ลดลงเหลือ 11.9%
-
อย่าลืมจัดหน้าเว็บสำหรับมือถือ
ยุคนี้ คนใช้เวลาเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ใช้ Desktop
ถ้าหน้าเว็บไซต์ของเรา ไม่ได้สร้างมารองรับการแสดงผลบนมือถือ (Mobile Responsive) คงพลาดโอกาสอันใหญ่หลวงแน่นอน หน้าเว็บสำหรับ Mobile ควรใช้งานได้อย่างคล่องตัว และมีแบบฟอร์มลงทะเบียนที่สั้นและง่ายกว่าบน Desktop
-
ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
ความล่าช้าในการโหลดหน้าเว็บ 1 วินาที ส่งผลให้ Conversion ลดลง 7%
มีปัจจัยหลายอย่าง ที่ทำให้หน้าเว็บไซต์ช้าลงนะ ทั้งรูปภาพขนาดใหญ่ รูปภาพเยอะเกินไป มีเอฟเฟคเยอะ คลิปวิดิโอเยอะและหนักหรือการติดตั้ง widget หรือ Plug-in ก็สามารถลดสปีดหน้าเว็บไซต์เราได้ค่ะ
เราจะขอแชร์เว็บไซต์ที่ให้คุณสามารถเข้าไปเช็ค Page speed ได้ที่ https://pagespeed.web.dev/
-
เลือกลงทุนในช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูง
กลยุทธ์ในการทำ Conversion Tracking เราควรเลือกติดตามแต่ละช่องทางแยกกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งมันจะทำให้เราประเมินกลยุทธ์ใหม่ และเลือกลงทุนในทิศทางที่จะให้ผลตอบแทนสูงที่สุด มากกว่านั้น ยังเอามาวิเคราะห์และเลือกลงทุน ในช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้ด้วย เพื่อทำแคมเปญโฆษณา Remarketing ดึงดูดผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าให้กลับมายังเว็บไซต์และอาจเกิด Conversion ขึ้นได้ค่ะ