Facebook Pixel คืออะไร ? ทำไมต้องติดบนเว็บไซต์
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่ขายของทั้งบนเว็บไซต์และเฟซบุ๊ก น่าจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า
“ ได้ติด Facebook Pixel บนเว็บหรือเปล่า ” หรือ “ ติดเฟซบุ๊กพิกเซลยัง ” มาไม่มากก็น้อย บางคนอาจเคยได้ยินและรู้จักเจ้าพิกเซลนี้มาบ้าง แต่บางคนคงทำหน้าสงสัยจนไปต่อไม่ถูก
ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณได้คลิกเข้ามาในบทความนี้
เราจะช่วยให้คุณหายสงสัย และเข้าใจว่า ทำไมคนถึงพูดถึงกันนักหนา และมันจำเป็นด้วยหรอ ที่เว็บไซต์ต้องติดเฟซบุ๊กพิกเซล
Facebook Pixel คืออะไร ?
มาเริ่มทำความรู้จักกับ เจ้าพิกเซล กันก่อนดีกว่าค่ะ
Facebook Pixel คือ ชุดโค้ดพื้นฐานของเฟซบุ๊ก ที่ต้องนำไปฝังในเว็บไซต์ เพื่อเก็บทุกการกระทำของคนที่เข้ามาในเว็บไซต์ และแสดงออกมาให้เราทราบผ่านทางเฟซบุ๊กเอง
( เหมือนกับการทำโฆษณา Google ที่ต้องติดโค้ด Google Analytics นั่นแหละ ) ยิ่งกว่านั้น ยังสามารถนำข้อมูลของคนที่เข้ามาในเว็บไซต์เหล่านี้ ไปเชื่อมโยงกับบัญชี Facebook ของพวกเขาเองได้อีกด้วย
Facebook กล่าวไว้ว่า
“ Pixel เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ชั้นเลิศ ที่ช่วยให้คุณวัดประสิทธิภาพของโฆษณาได้ด้วยการทำความเข้าใจกับพฤติกรรมผู้คนบนเว็บไซต์ของคุณ ”
เฟซบุ๊กพิกเซล สามารถให้ข้อมูลที่สำคัญและมีประโยชน์กับคุณเป็นอย่างมาก เพื่อนำไปสร้างโฆษณา Facebook ที่ดีในสเต็ปต่อไป และยังทำให้คุณกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการทำโฆษณาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ด้วยวิธีติดตามการกระทำที่เกิดขึ้นหลังจากที่คน ๆ นั้น เข้ามาในเว็บไซต์ผ่านโฆษณาเฟซบุ๊ก
แต่ถ้าคุณยังไม่เคยยิงโฆษณา Facebook ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ใช้พิกเซลนะ
เพราะแค่ติดตั้ง FB Pixel บนเว็บไซต์ของคุณ มันก็จะเริ่มรวบรวมข้อมูลมาให้คุณแบบไวที่สุด เพื่อให้คุณเรียกใช้ได้ทันทีเมื่อพร้อม เพราะฉะนั้น ติดไว้ก่อน ก็ไม่เสียหายค่ะ
ทำไมต้องติด Facebook Pixel บนเว็บไซต์ ?
-
เพื่อทำโฆษณา Retargeting
เคยสงสัยมั้ย?
ว่าทำไมคุณถึงเห็นโฆษณาสินค้าบน Facebook ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้ เพิ่งเข้าไปส่องในเว็บมาหมาด ๆ นั่นแปลว่าคุณ กำลังโดนเฟซบุ๊กยิงโฆษณา Retargeting ค่ะ
ถ้าบนเว็บไซต์ของคุณติดพิกเซลไว้เรียบร้อยแล้ว รอให้พิกเซลเก็บข้อมูลสักนิดนึง ( แนะนำว่าให้มีคนเข้ามาในเว็บไซต์ อย่างน้อย 100 คนนะคะ ) ก็สามารถเลือกใช้กลุ่มเป้าหมายนี้ในขั้นตอนการทำโฆษณาเฟซบุ๊กได้เลย เพื่อให้โฆษณานั้น ส่งตรงไปหาคนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณนั่นเองค่ะ
-
สามารถวัดผล Conversions ได้
เมื่อคุณยิงโฆษณาไปยังเว็บไซต์ คุณอย่าคิดว่านั่นคือจบ ปิดจ็อบแล้วนะ
คุณต้องทำการวัดผลด้วย ว่าสิ่งที่ต้องการให้คนเข้าไปในเว็บไซต์ เขาได้ทำหรือเปล่า
ยกตัวอย่างเช่น
ยิงโฆษณาให้คนเข้ามาซื้อโต๊ะไม้ราคาพิเศษบนเว็บไซต์
จากตัวจัดการโฆษณา แสดงให้เห็นว่ามีคนคลิกเข้ามาผ่านโฆษณาทั้งหมด 150 คน แต่ถ้าคุณติดพิกเซลด้วย คุณจะสามารถเห็นถึงขั้นที่ว่า มีคนเข้าหน้าสินค้า 135 คน กดเข้าตะกร้า 80 คนและสั่งซื้อสำเร็จ 20 คน
สิ่งนี้เรียกว่า การวัดผล Conversions นั่งเองค่ะ
เมื่อคุณติดตั้งพิกเซลบนเว็บไซต์แล้ว (ฺ Base code ) จะต้องติดตั้งโค้ดเหตุการณ์ ( Event code ) ลงตามไปด้วย ซึ่งเจ้าโค้ดเหตุการณ์นี่แหละ จะเป็นตัวจับการกระทำต่าง ๆ ให้เอง ว่าคนที่เข้ามาจากโฆษณาเขาไปจบที่จุดไหน ใช่เป้าหมายที่คุณต้องการหรือเปล่า
โดยเหตุการณ์มาตรฐานที่คุณสามารถติดตาม ก็อย่างเช่น การสั่งซื้อ การอ่านบทความ การคลิกลงทะเบียน การเพิ่มลงตะกร้า ( Add to cart ) เป็นต้น
-
ใช้สร้าง Custom Audiences
ต่อเนื่องมาจาก การติดตั้งโค้ดเหตุการณ์ ( Event code ) ด้านบนเลยค่ะ
เมื่อพิกเซลสามารถจับได้แล้วว่า ใครบ้างที่เข้ามาในเว็บไซต์ของ หรือ ใครบ้างที่เข้ามาดูสินค้าแต่ยังไม่ซื้อ ก็สามารถนำคนกลุ่มนี้มาสร้างกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง หรือที่เรียกกันว่า Custom Audiences ได้ โดยพิกเซล จะรวบรวมข้อมูลของคนที่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณตามที่คุณเลือก
ยกตัวอย่างเช่น
‘ คุณเลือกที่จะใช้ข้อมูลของคนที่เข้ามาในเว็บไซต์หน้าสินค้า A ในช่วง 15 วัน ‘ มาแมทช์กับบัญชี Facebook ของคน ๆ นั้น เมื่อคุณนำพวกเขามาใช้สร้างกลุ่มเป้าหมาย โฆษณาก็จะยิงไปหากลุ่มคนที่คุณเลือกไว้ได้แน่นอน
วิธีนี้ เหมาะกับการทำโฆษณาเพื่อลูกค้าเก่า คือ เลือกกลุ่มที่เคยสั่งซื้อสินค้าแล้ว หรือส่งโฆษณาสินค้า โปรโมชั่นไปหาคนที่เกือบจะซื้ออยู่แล้ว คือ คนที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้า แต่ยังไม่กดสั่งซื้อนั่นเอง
-
ใช้สร้าง Lookalike Audiences
หลังจากที่คุณได้ลองใช้กลุ่มลูกค้าที่มาจากเว็บไซต์แล้วมันเวิร์คมาก !
รู้นะ ว่าคุณก็คงอยากจะได้ลูกค้าแบบคนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอีกเยอะ ๆ แน่นอน Facebook จึงมีการสร้างกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน ( Lookalike Audiences ) ที่เปรียบเสมือน ‘เครื่องโคลนนิ่ง’ มาช่วยคุณค่ะ
การทำ Lookalike นั้น เฟซบุ๊กจะเป็นฝ่ายสร้างให้เราเอง โดยจะไปเฟ้นหาคนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มคนตั้งต้นที่เราเลือกไว้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ ที่อยู่ ความชอบ พฤติกรรมต่าง ๆ ทำให้คุณมีโอกาสได้ลูกค้าใหม่จากการยิงโฆษณา
ยกตัวอย่างเช่น
คุณต้องการกลุ่มลูกค้าใหม่ เข้าไปในเว็บไซต์
คุณก็เริ่มจากการทำ Custom Audiences กลุ่มคนที่เคยซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ของคุณ เมื่อพิกเซลกรองข้อมูลมาให้คุณได้เรียบร้อยแล้ว คุณก็เอาข้อมูลก้อนนี้ไปทำ Lookalike แล้วใช้ยิงโฆษณา Traffic เพื่อหากลุ่มคนที่คล้ายกับลูกค้าเก่า ให้เข้าไปในเว็บไซต์ของคุณและมีแนวโน้มว่าจะสั่งซื้ออีกด้วย
Lookalike Audiences สามารถสร้างคนที่คล้ายกับคนที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ หรือคล้ายกับคนที่เคยคลิกโฆษณาของคุณ หรือแม้กระทั่งคล้ายกับลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าบนเว็บไซต์คุณด้วย
-
สร้างโฆษณารูปแบบ Dynamic Ads
หากคุณมีเว็บไซต์ E-commerce ขนาดใหญ่ มีสินค้าหลายพันรายการ คุณยิ่งต้องใช้เฟซบุ๊กพิกเซลเลยล่ะค่ะ เพื่อทำโฆษณาในรูปแบบ Dynamic Ads ที่เฟซบุ๊กเรียกว่า โฆษณา Catalog Ads
คุณคงเคยเห็นโฆษณาสินค้าในรูปแบบสไลด์ ( Carousel ) ที่สินค้าแต่ละชิ้นในนั้นช่างคุ้นหน้าคุ้นตาจริง ๆ เพราะคุณเพิ่งกดดูมาหมาด ไม่นานนี้ และแน่นอนว่ามันจะโผล่มาให้คุณเห็นบ่อยมาก เพื่อย้ำเตือนว่าคุณเคยสนใจมันนะ ไม่ซื้อสักหน่อยหรอ
Catalog Ads จึงเป็นเครื่องมือสุดฮิตที่ช่วยสร้าง Conversion ให้กับเว็บไซต์อีคอมเมิร์สขนาดใหญ่ค่ะ ลองคิดดู ถ้าคุณมีเว็บไซต์ที่ขายของเป็นพันชิ้น แล้วต้องมานั่งสร้างโฆษณาเพื่อ Retargeting ไปให้ตรงแต่ละคน จะต้องใช้เวลากี่วันถึงจะเสร็จล่ะ
โฆษณา Catalog Ads จึงใช้ประโยชน์ของเฟซบุ๊กพิกเซลบนเว็บไซต์เข้ามาช่วยในการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่จะยิง (จาก Custom Audience นั่นแหละ) และวัดผลด้วย Conversions คือการเข้าดูสินค้า หรือสั่งซื้อสินค้าชิ้นนั้นนั่นเอง
รู้แล้ว เริ่มเลย !
ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ คงเห็นพลังมหาสารของ Facebook Pixel แล้วใช่มั้ยคะ เพราะพิกเซลถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการทำโฆษณาและเชื่อมโยงแพลตฟอร์มของธุรกิจคุณไว้ ให้การทำโฆษณาของคุณนั้นคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์
หากใครคันมือ อยากจะลองติด Facebook Pixel แล้ว สามารถเข้าไปอ่าน วิธีสร้างและติดตั้งพิกเซล ได้เลย
แต่สำหรับเจ้าของเว็บไซต์ MakeWebEasy เรามี วิธีการติดตั้งพิกเซลบนMakeWebEasy ที่แสนง่าย ทำตามได้ไม่ยากมาให้แล้วค่ะ